วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แผ่นทดสอบตาบอดสี

เราเห็นสีวัตถุได้อย่างไร
ในคนปกติ จะมีอวัยวะที่ทำหน้าที่รับแสงสีที่สะท้อนออกมาจากวัตถุในดวงตานั่นคือ เรตินา (retina) ภายในเรตินา 1 ข้างประกอบไปด้วย เซลล์ที่เรียกว่า โคน (cone) ประมาณ 6-7 ล้านเซลล์ ซึ่งเซลล์โคนนี่เองจะทำหน้าที่รับแสงสีต่างๆ ที่สะท้อนมาจากวัตถุ และประมวลผลร่วมกันจนทำให้เราเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ
เซลล์โคน 6-7 ล้านเซลล์นี้ ยังแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ตามการตอบสนองต่อสีที่เป็นแม่สีของแสง คือ
1. Long wavelength-sensitive cones เป็นเซลล์โคนที่ตอบสนองต่อแสงสีแดง มีอยู่ประมาณ 60 %
2. Middle wavelength-sensitive cones เป็นเซลล์โคนที่ตอบสนองต่อแสงสีเขียว มีอยู่ประมาณ 30 %
3. Short wavelength-sensitive cones เป็นเซลล์โคนที่ตอบสนองต่อแสงสีน้ำเงิน มีอยู่ประมาณ 10 %

อาการตาบอดสี
จำนวนและความสามารถในการทำงานของเซลล์โคนในเรตินาจะเป็นตัวกำหนดว่าคนนั้นจะมีอาการผิดปกติของการตอบสนองต่อแสงสีต่างๆ มากน้อยเพียงใด ซึ่งเกิดเป็นอาการตาบอดสีลักษณะต่าง ๆ แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะใหญ่ ดังนี้
1.ในเรตินามีเซลล์โคนครบทั้ง 3 ชนิด แต่อาจมีชนิดใดชนิดหนึ่งทำงานได้หรือมีจำนวนน้อยกว่าปกติ (anomalous trichromat) โดยพบว่า คนที่ผิดปกติที่เซลล์โคนที่ตอบสนองต่อแสงสีเขียวมีมากที่สุดประมาณ 5 % จากผู้ที่มีอาการตาบอดสีทั้งหมด ผิดปกติของเซลล์โคนที่ตอบสนองต่อแสงสีแดง มีอยู่ประมาณ 1 % และ ผิดปกติของเซลล์โคนที่ตอบสนองต่อสีน้ำเงินมีอยู่น้อยที่สุด คิดเป็น 0.0001 % ภาพที่คนเหล่านี้มองเห็นยังยังคงเห็นภาพต่างๆ เป็นสีเขียว แดง น้ำเงินได้เหมือนคนปกติ แต่การตอบสนองหรือการแยกแยะสีเหล่านี้อาจทำได้ไม่เหมือนคนปกติ เช่น ผู้ที่ผิดปกติ ที่เซลล์โคนที่ตอบสนองต่อสีแดงจะแยกแยะความแตกต่างหรือเห็นสีแดงแตกต่างไปจากคนปกติ เท่านั้น แต่ สีเขียวและสีน้ำเงิน (ที่ไม่มีแสงสีแดงผสมอยู่ด้วย) จะยังเห็นและแยกแยะได้เหมือนคนปกติ เป็นต้น
2.ในเรตินามีเซลล์โคนเพียงแค่ 2 ชนิด ขาดเซลล์โคนที่ตอบสนองแต่แสงสีใดสีหนึ่ง (dichromat) เช่น ผู้ที่ขาดเซลล์โคนที่ตอบสนองต่อสีแดง จะมองไม่เห็นวัตถุที่สะท้อนสีแดงโดยจะเห็นเป็นโทนสีเทา แต่ยังสามารถมองเห็นวัตถุที่สะท้อนแสงสีอื่นๆ ได้เป็นปกติ
3.ในเรตินามีเซลล์ที่ตอบสนองต่อแสงสีเพียงอย่างเดียว (monochromat) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะย่อยๆ คือ อาการผิดปกติที่มองไม่เห็นแสงสีอื่นๆ เลยนอกจากโทนสีขาว เทา และดำ (rod monochromat) ซึ่งเกิดจากการที่บุคคลผู้นั้นมีแต่เซลล์รอด (rod cell) ที่ตอบสนองต่อการมองเห็นวัตถุในเวลากลางคืน และ อาการผิดปกติที่เห็นแสงสีเพียงสีเดียว (cone monochromat) ซึ่งโดยปกติจะพบเฉพาะอาการที่เห็นได้แต่เฉพาะแสงสีน้ำเงิน ซึ่งพบได้น้อยมาก

เราจะทราบได้อย่างไรว่าตาบอดสีหรือไม่
โดยทั่วไปจักษุแพทย์นิยมทำการตรวจสอบลักษณะความผิดปกติเหล่านี้โดยใช้แผ่นทดสอบตาบอดสีที่หลายๆ คนคงเคยเห็นผ่านตากันมา ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษแบนราบและมีวงกลมเป็นพื้นจุดสีแดงตัวเลขจุดสีเขียวบ้าง หรือเป็นพื้นจุดสีเขียวตัวเลขจุดสีแดงบ้าง เป็นต้น

แผ่นทดสอบที่แพทย์ใช้นั้น เรียกว่า แผ่นทดสอบ Ishihara ซึ่งออกแบบโดย ดร. Shinobu Ishihara ชาวญี่ปุ่นซึ่งแผ่นทดสอบตาบอดสีเหล่านี้จะพิมพ์เป็นหนังสือ โดยในหนึ่งเล่มจะประกอบด้วยแผ่นทดสอบทั้งหมด 38 แผ่น หรือในบางกรณีอาจมีแผ่นทดสอบ 24 แผ่น ซึ่งในทางการแพทย์แล้วนั้น การใช้แผ่นทดสอบดังกล่าวเพียง 4 แผ่น ก็เพียงพอที่จะสามารถตรวจสอบได้แล้วว่าบุคคลที่ถูกทดสอบนั้นมีอาการตาบอดสีหรือไม่

หน้าตาแผ่นทดสอบตาบอดสี Ishihara เป็นอย่างไร
ในจำนวนแผ่นทดสอบตาบอดสีจำนวน 24 หรือ 38 แผ่นยังแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ได้ 5 กลุ่ม คือ
1.แผ่น demonstration มีลักษณะเป็น พื้นวงกลมสีเทาและมีตัวเลข 12 สีส้ม ซึ่งแผ่นในกลุ่มนี้จะใช้เป็นแผ่น เริ่มต้นในการทดสอบ เพื่อดูว่า ตาของผู้ที่ถูกทดสอบมีความผิดปกติอย่างอื่น และสามารถอ่านตัวเลขได้หรือไม่ ซึ่งคนที่ตาปกติและคนที่มีอาการตาบอดสีต้องสามารถอ่านตัวเลขได้เหมือนกัน
2.แผ่น transformation มีลักษณะเป็นตัวเลข 1 หลัก หรือ 2 หลัก โดยมีทั้งที่เป็นพื้นสีเขียวตัวเลขสีแดง และ พื้นสีแดงตัวเลขเขียว ตัวอย่างการอ่านแผ่น transformation เช่น ในแผ่นที่ 3/24 หรือ 4/38 คนตาปกติจะอ่านได้เลข 29 คนที่มีอาการตาบอดสีเขียว-แดงจะอ่านได้เลข 70 ส่วนคนที่ตาบอดทุกสีจะมองไม่เห็นตัวเลข
3.แผ่น disappearing มีลักษณะคล้ายกับแผ่น transformation แต่มีความแตกต่างตรงที่ คนที่ตาบอดทั้งสีเขียว-แดง และคนที่ตาบอดทุกสีจะมองไม่เห็นตัวเลข เช่น ในแผ่นที่ 12/24 หรือ 16/38 คนตาปกติ อ่านได้เลข 16 แต่คนตาบอดสีทั้ง 2 กรณี มองไม่เห็นเลข 16 เป็นต้น
4.แผ่น hidden digit แผ่นนี้จะมีลักษณะตรงข้ามกับ แผ่น disappearing คือ คนที่สายตาปกติจะมองไม่เห็นตัวเลข ในขณะที่ผู้ที่มีอาการตาบอดสี จะเห็นแผ่นที่ 14/24 หรือ 18/38 เป็น เลข 5 เป็นต้น
5.แผ่น qualitative เป็นแผ่นที่ออกแบบมาเพื่อต้องการใช้แยกว่าผู้ป่วยนั้นตาบอดสีเขียวหรือตาบอดสีแดง แต่สวนมากแพทย์จะไม่นิยมใช้แผ่นในกลุ่มนี้ทดสอบเนื่องจากมีความแม่นยำไม่มาก
แผ่นทดสอบตาบอดสีทั้ง 5 กลุ่มนี้ นอกจากมีลักษณะเป็นตัวเลขแล้วยังมี ลักษณะเป็น เส้นซึ่งแพทย์มักจะใช้ในกรณีที่ผู้ถูกทดสอบ ยังเป็นเด็ก หรือ ไม่สามารถอ่านตัวเลขในแผ่นทดสอบได้ โดยจะให้คนไข้ วาดเส้นที่มองเห็นจากในแผ่นทดสอบตาบอดสีเหล่านั้นแทน

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ดวงตา

ดวงตา เป็นอวัยวะสำคัญที่มีบทบาทและมีคุณค่ามากสำหรับเราทุกคน ประมาณกันว่า 70 – 80 % ของสิ่งที่เรารับรู้ และเรียนรู้ ได้มาจากการมองเห็น การมองเห็นที่ชัดเจน จึงมีความสำคัญมากในการมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข สายตาปกติเป็นผลของการที่แสงโฟกัสผ่านกระจกตา (Cornea) และเลนส์แก้วตา (Crystalline Lens) ลงพอดีที่จอประสาทตา(Retina) ถ้ากำลังการรวมแสง (Refractive power) ของตาไม่พอดีกับความยาวลูกตา เป็นผลให้การรวมแสงของตาตกไม่พอดีที่จอประสาทตา เกิดภาวะสายตาผิดปกติ (Refractive errors หรือ Ametropia)

การวัดสภาพสายตานั้นมักที่จะใช้ค่าในการวัดเป็น Diopter การมองเห็นในระดับ 20 /20 เป็นการมองเห็นด้วยตาเปล่าในระดับปกติซึ่งวัดที่ระยะห่าง 20 ฟุต หากท่านมีระดับการมองเห็นในระดับ 20/20 ท่านสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะ 20 ฟุต แต่หากท่านมีการมองเห็นในระดับ 20/40 หมายถึงท่านต้องเข้ามาใกล้ในระดับ 20 ฟุต จึงสามารถมองเห็นสิ่งที่คนสายตาปกติมองเห็นได้ในระยะ 40 ฟุตได้ การมองเห็นในระดับ 20/20 ไม่ใช่การมองเห็นที่ดีที่สุด แต่แสดงให้เห็นความชัดเจนของการมองเห็นในระยะห่าง 20 ฟุตเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการมองเห็นอื่นๆ ที่สำคัญอีก ประกอบด้วย การมองเห็นด้านข้าง การทำงานร่วมกันของดวงตา ระดับในการมองเห็น ความสามารถในการรวมแสง และการมองเห็นสี ซึ่งรวมกันเป็นความสามารถในการมองเห็นโดยรวม

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554